Page 74 - เอกสารประกอบหลักสูตรเพื่อพัฒนาอาชีw re-skill และ up-skill การทำแอปพลิเคชั่น (Application) เพื่อการค้าออนไลน์
P. 74
69
สินค้าริมฟุตบาทไปจนถึงประเภทสินค้าประเภทไฮเทค เช่น โทรศัพท์ เครื่องเล่น อุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ รวมทั้ง
สินค้าประเภทอาหาร เสื้อผ้า รถยนต์ รวมทั้งสินค้าทุกประเภท หรือประเภทการให้บริการ เช่น โรงพยาบาล
คลินิกแพทย์ แต่ละครั้ง เมื่อเกิดปัญหาของสินค้าและบริการระหว่างพ่อค้าผู้ประกอบธุรกิจกับผู้บริโภค
ผู้บริโภคมักตกเป็นผู้เสียเปรียบ หลายประการ บางครั้งแม้รู้ว่าถูกหลอกถูกเอาเปรียบ ก็ไม่อยากจะพึ่งพา
กฎหมาย เพราะสาเหตุหลายประการ ดังนี้
1. ผู้บริโภคไม่มีความรู้ทางเทคนิควิธี กระบวนการผลิตสินค้า โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่
เทคโนโลยีก้าวไกลทันสมัย ทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถรู้ได้ว่าสินค้า หรือบริการที่ตัวเองซื้อหามาใช้มาครอบครอง
มีกระบวนการวิธีผลิต หรือไม่ถูกต้อง ไม่สมบูรณ์อย่างไร
2. แม้ผู้บริโภคจะรู้ว่าตนเองได้สินค้าไม่สมบูรณ์ หรือได้รับการบริการที่ไม่สุภาพ ไม่ซื่อสัตย์ต่อ
ลูกค้า แต่ผู้บริโภคก็ไม่อยาก เป็นความ เพราะการขึ้นโรงขึ้นศาลต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีเอง ค่าจ้าง
ทนาย ต้องเสียเวลา บางครั้งสินค้าราคาเล็กน้อย ไม่คุ้มกับ การเป็นความ ฟ้องร้องผู้ประกอบการธุรกิจ
3. แม้ผู้บริโภคจะใช้สิทธิฟ้องร้องผู้ประกอบการธุรกิจ แต่มักจะเสียเปรียบในชั้นพิจารณาคดีที่ไม่
มีความรู้ความสามารถเสาะแสวงหาหรือพิสูจน์พยานหลักฐานว่าสินค้าหรือบริการไม่สมบูรณ์อย่างไร เพราะ
กฎหมายเดิมให้ภาระการพิสูจน์เพื่อที่จะเอาผิดกับจำเลยตกอยู่กับผู้ฟ้องคดี
4. สัญญาที่ผู้ประกอบการธุรกิจทำกับผู้บริโภค ผู้บริโภคเสียเปรียบเสมอเพราะเป็นสัญญา
สำเร็จรูป ที่มีข้อความผูกมัดผู้บริโภค เช่น สัญญาเช่าซื้อ สัญญากู้ยืมเงินต่าง ๆ เป็นต้น
จากการเสียเปรียบของผู้บริโภคดังกล่าว ผู้ประกอบการธุรกิจการค้าที่ไม่สุจริต มักฉกฉวยโอกาส
เพื่อหวังผลกำไร โดยไม่ได้คำนึงถึงความเสียหายของผู้บริโภคที่อาจได้รับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย อนามัย
หรือทรัพย์สิน เช่น ขายยาที่หมดอายุความแล้ว หรือสินค้าชำรุดด้านในแต่ไม่ยอมบอกผู้บริโภคเพราะเกรงว่าจะ
ขาดทุน ทำให้ผู้ประกอบการค้ากำไรเกินควร ประชาชนในฐานะผู้บริโภคต้องตกเป็นเบี้ยล่างเรื่อยมาแต่ตั้งแต่
วันที่ 24 สิงหาคม 2551 ผู้ประกอบการธุรกิจที่ไม่สุจริตในการประกอบการค้า ไม่ว่าจะเป็นประเภทให้เช่าซื้อ
รถยนต์ ให้กู้ยืมเงินหรือการขายสินค้าประเภทใดๆ ก็ตามรวมถึงการให้บริการต่าง ๆ เช่น โรงพยาบาล โรงภาพยนตร์ฯ
ได้มีกฎหมายฉบับใหม่ที่คุ้มครองผู้บริโภคให้เข้าถึงความยุติธรรมได้อย่างง่ายดาย คือ “พระราชบัญญัติวิธี
พิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 หรือเรียกง่ายๆว่า ต่อแต่นี้ไปข้อพิพาทระหว่างผู้ประกอบการธุรกิจกับ
ผู้บริโภค หากมีกรณีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมาย อันเนื่องมาจากการ บริโภคสินค้าหรือบริการ
จะต้องขึ้น “ศาลผู้บริโภค”ที่มีชื่อตามศาลจังหวัดทุกจังหวัด กฎหมายฉบับนี้มีข้อดีซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้บริโภค
หลายประการ คือ
1. ผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายจากสินค้าหรือบริการใดก็ตามสามารถไปฟ้องศาล ผู้บริโภคได้
ด้วยวาจาโดยไม่ต้องจ่ายเงินจ้างทนายความ แต่จะมีเจ้าพนักงานคดีของศาลเป็นผู้ช่วยเขียนเรียบเรียงคำฟ้องไว้
ให้ ทั้งเมื่อฟ้องไปแล้วหากคำฟ้องไม่ถูกต้อง ศาลอาจสั่งให้แก้ไขให้ถูกต้องชัดเจนได้
2. ผู้บริโภคได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล ยกเว้นผู้บริโภคฟ้องไม่มีเหตุผลอัน
สมควรหรือเรียกค่าเสียหายเกินสมควร ศาลอาจมีคำสั่งให้บุคคลนั้น ชำระค่าฤชาธรรมเนียมได้
70